cold-flu-header-image.jpg

ในช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแบบนี้ เราอาจจะต้องหมั่นเช็คสุขภาพกันบ่อยๆ ก่อนที่แขกไม่ได้รับเชิญประจำฤดูอย่างไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่จะมาเยือน
ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจที่มีอาการแสดงออกทั่วไปคล้ายกัน จนบางครั้งอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความสับสน วันนี้เรารวบรวมวิธีแยกความแตกต่างระหว่างไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่แบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
ไข้หวัดมีอาการอย่างไร?
- ผู้ป่วยมีอาการเริ่มต้นจาก คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หรือเจ็บคอ
- อาจมีไข้ต่ำเป็นเวลา 1-2 วัน
- ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกายเล็กน้อย
- มีโอกาสเป็นได้ตลอดทั้งปี
- อาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ไซนัส หรือหูอักเสบ
ไข้หวัดใหญ่มีอาการต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?
- ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงถึง 38-40 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานกว่า 3-4 วันขึ้นไป
- มักไม่พบอาการเจ็บคอ ส่วนใหญ่จะมีอาการไอแห้ง ๆ
- ปวดหัว ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ
- อาจมีอาการหนาวสั่นสะท้านและเบื่ออาหาร
- โดยทั่วไปมักมีอาการรุนแรงและยาวนานกว่าไข้หวัดธรรมดา
- ระบาดหนักในช่วงหน้าหนาว ราวปลายตุลาคมถึงกุมภาพันธ์
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด อาจเสี่ยงต่อการทรุดหนักจนอันตรายถึงแก่ชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน อย่างปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ
ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ มีวิธีการรักษาอย่างไร?
ไข้หวัดธรรมดาสามารถรักษาหายได้จากการรักษาตามอาการ เช่น การรับประทานยาบรรเทาอาการปวดลดไข้พาราเซตามอล และยาแก้ไอ ส่วนไข้หวัดใหญ่นั้น นอกจากการรักษาตามอาการเช่นเดียวกับไข้หวัดแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี ก็เป็นอีกวิธีที่ได้ผลและช่วยป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำได้ในระยะยาว
ไข้หวัดกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่ได้หรือไม่?
ใครที่กลัวว่าไข้หวัดจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ล่ะก็ ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะไข้หวัดธรรมดากับไข้หวัดใหญ่มีสาเหตุมาจากไวรัสคนละชนิดกัน โดยไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดจากไวรัสต่าง ๆ ร่วม 200 ชนิด โดยที่พบมากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (Rhinovirus) และโคโรนาไวรัส (Coronavirus) ส่วนเชื้อต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่ คือ Influenza Virus หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแบ่งออกเป็นสายพันธุ์หลัก ๆ ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B โดยวิธีการสังเกตความแตกต่างง่าย ๆ ระหว่างไข้หวัดใหญ่สองสายพันธุ์นี้ คือ อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะรุนแรงกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่เย็นและแห้งค่ะ
ดูแลตัวเองอย่างไรให้ไม่เป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่?
ขึ้นชื่อว่าไข้หวัด ไม่ว่าจะไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ คงไม่มีใครอยากเป็นใช่ไหมคะ ดังนั้นเราจึงต้องป้องกันด้วยการดูแลตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างจากความเสี่ยงอยู่เสมอ โดยวิธีง่าย ๆ อย่างการล้างมือให้สะอาด เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยและอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ที่สำคัญ อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ชีวิตก็ห่างไกลจากไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย ๆ แล้วค่ะ
ไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่สามารถรักษาหายได้ด้วยวัคซีนจริงหรือไม่?
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคไข้หวัดใหญ่คือการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีค่ะ โดยในวัคซีน 1 เข็มนั้นสามารถต้านได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A 2 สายพันธุ์ และสายพันธุ์ B อีก 1 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถรักษาอาการของไข้หวัดธรรมดาได้ เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิด และปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีนที่ใช้รักษาไข้หวัดธรรมดาได้ค่ะ
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 - 3 ปี ผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่อาศัยในสถานพักฟื้นหรือบ้านพักคนชรา ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่บริการสังคม ส่วนผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ที่มีประวัติแพ้ไก่หรือไข่ไก่อย่างรุนแรง และผู้ที่เคยมีอาการแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ หากคุณกำลังมีไข้สูง มีอาการของโรคประจำตัวกำเริบ หรือเพิ่งหายจากการเจ็บป่วย ควรนัดเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน ส่วนกรณีที่เป็นหวัดเล็กน้อยและไม่มีไข้ สามารถรับการฉีดวัคซีนได้ตามปกติค่ะ
แหล่งข้อมูล: